ร้านมดอมูเล็ต

บทความ

หลวงปู่ดู่ที่ผมไม่รู้จัก

16-06-2559 14:16:15น.

ตั้งแต่ผมเด็ก ๆ ย่าเคยเล่าให้ฟังว่าโลกยุคพระศรีอาริยเมตไตรยว่า..ยุคนั้นจะมีแต่คนดีมาเกิด ไม่มีคนชั่ว ผู้คนไม่ต้องหิวโหยเพราะข้าวปลาอุดมสมบูรณ์ ตอนนั้นผมก็นึกในใจว่าโลกในยุคนั้นมันคงเป็นแต่เพียงจินตนาการของผู้ใหญ่ที่กลัดกลุ้มกับโลกปัจจุบันและหวังว่าจะมีโลกแบบนั้นเกิดขึ้นในอนาคต...เลยคิดเป็นนิทานมาเล่าให้เด็กฟัง

ไหนจะเรื่องปลาอานนท์พลิกตัวอีกล่ะ…พอดีบ้านย่าอยู่เชียงใหม่แผ่นดินไหวบ่อย ผมอดคิดไม่ได้ว่าปลาอานนท์นี่ต้องตัวใหญ่เท่าปลาวาฬแน่นอน...พอคืนไหนเกิดกบกินเดือน แถวบ้านย่าที่เชียงใหม่ คนก็จะตีปี๊บเคาะกะลากันเสียงดังไปทั่ว บางบ้านจุดประทัดไล่กบให้คายพระจันทร์ ผมทั้งกลัวทั้งสนุก พอโตขึ้นก็รู้ว่านั่นเป็นเพียงความเชื่อหาใช่เรื่องจริงไม่...

นั่นเป็นครั้งแรกที่ผมได้รู้จักนิทานต่าง ๆ เหล่านี้รวมถึงชื่อพระศรีอาริย์...พระพุทธเจ้าองค์ใหม่ที่กำลังรอเวลามาเกิดบนโลกเพื่อโปรดสัตว์อีกครั้ง นี่คือเรื่องเล่าหรือนิทานหลอกผู้ใหญ่และเด็กๆที่ผมรู้จัก

...บ้านผมที่อุบลฯ มีหลวงปู่ทวดเยอะ พ่อก็บอกว่าให้คล้องหลวงปู่เพราะศักดิ์สิทธิ์ แถมพระนี้ดี ได้ตกทอดมาจากปู่ด้วย แต่ผมก็ไม่คล้อง คิดว่าพระอยู่ที่ใจ ผมปฏิเสธไม่ยอมรับเรื่องพระเครื่อง มองเป็นเรื่องงมงาย ไหนท่านสอนให้ตัดกิเลสไง ทำไมแต่ละคนอยากได้พระเครื่องกันจัง ส่วนมากก็อยากได้มาเพราะราคาแพงจะได้เอาไว้ขาย หากินกับพระ ก็คิดไปอย่างนั้น

แต่ถามว่าไม่คล้องพระแล้วทำตัวเป็นชาวพุทธที่ดีมั้ย ก็ไม่นะครับ ยังคงร่ำสุราบานใช้ชีวิตวัยหนุ่มน้อยแบบเด็กบ้านนอกเข้ากรุง ไม่มีจุดมุ่งหมายใดๆในชีวิต สนุกไปวันๆ..แม้จะผ่านการบวชเรียนมาแล้วก็เถอะ

เรื่องต่าง ๆ ที่ผมเล่ามาผ่านกาลเวลาผ่านยุคต่าง ๆ ในชีวิตผมมานานจนลืมไปหมดแล้ว..อย่างน้อยผมก็ไม่น่าจะคิดถึงเรื่องนี้อีกแล้ว

จนเมื่อไม่กี่เดือนมานี่เอง อาจารย์บุญลัธที่ผมเคารพ ท่านเป็นครูสอนพี่สาวผมที่โรงเรียนในเชียงใหม่ ต่อมาผมได้มีโอกาสเรียนพิเศษกับท่านที่บ้านท่าน เมื่อครั้งขึ้นไปเรียนมหาลัยที่เชียงใหม่ พอผมเรียนจบไปลาท่านบอกว่าจะกลับอุบลฯ ไปบวชก่อนยังไม่หางานทำ ท่านก็เมตตาพาผมไปเที่ยวไหว้พระตามสถานที่ต่างๆ ขอพรจากพระที่ท่านนับถือ ... หลังจากนั้นร่วมสิบกว่าปีได้ ผมก็ไม่ได้ข่าวท่านอีกเลย จนบางครั้งอดสงสัยไม่ได้ว่าท่านยังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า

จนไม่กี่เดือนนี้แหละครับ พี่สาวผมก็ได้เบอร์โทรอาจารย์บุญลัธมาแล้วก็ได้โทรหาท่าน จากนั้นท่านก็โทรมาคุยทั้งกับพี่สาวและกับผมบ้าง ส่วนใหญ่คุยเรื่องการปฏิบัติธรรม เพราะท่านปฏิบัติมานาน นานจนสอนพระได้มั้ง

มีอยู่วันหนึ่งท่านคุยกับพี่สาวว่า ท่านกำลังทำงานสำคัญคือ พาคนให้ไปเกิดในยุคของพระศรีอาริย์ ... นี่เป็นครั้งที่สองมั้งที่ผมได้ยินเรื่องนี้อย่างจริงจังแน่นอนครับ..ผมเป็นชาวพุทธใครๆ ก็บอกว่านี่คือพระพุทธเจ้าองค์ต่อไป ตอนนี้คือพระโพธิสัตว์ที่บารมีเต็มแล้วรอเวลาเป็นพระพุทธเจ้า แต่เรื่องมันไม่เหลือเชื่อเกินไปหรือ...เพราะความเข้าใจของผมนั้น ยุคนี้ยังอีกไกลมาก...และมาก

ไม่กี่วันจากนั้น อาจารย์ท่านก็นั่งแท๊กซี่ไปหาพี่สาวที่โรงงาน ทั้งที่พี่สาวผมไม่รู้มาก่อนว่าท่านจะมา
ท่านฝากหนังสือเล่มหนึ่งมาให้ผมอ่านชื่อ "มิติแห่งโลกวิญญาณ" ของท่าน พ.ธรรมรังสี

ท่านอาจารย์บอกว่าให้ผมอ่านให้จบก่อนแล้วค่อยโทรหาท่าน จากนั้นจึงจะพาไปพบกับท่าน พ.ธรรมรังสี ถึงตอนนั้นสงสัยอะไรก็ถามท่าน จำได้ว่าเป็นหนังสือปกแข็งสีดำพิมพ์ด้วยกระดาษอย่างดี เห็นท่านบอกว่าหาไม่ค่อยได้แล้วตอนนี้

ผมนั่งอ่านจบภายในคืนเดียวครับ...โอ หนังสือธรรมะเสียด้วย ความจริงที่เพื่อนผมไม่ทราบคือ ผมชอบอ่านหนังสือปรัชญา เซน เต๋า และธรรมะมาก แต่ก็ขี้เกียจเล่าให้เพื่อนรู้ ก็ไม่รู้ว่าจะเล่าไปทำไม

หนังสือเล่มนั้นได้อธิบายไว้หมดเลยครับว่า สวรรค์คืออะไรแบ่งเป็นกี่ชั้น ชื่อเทพเจ้าที่เรารู้จักน่ะบางชื่อเป็นชื่อตำแหน่งก็เหมือนรัฐมนตรีผลัดเปลี่ยนกันไป...มีอีกมากมายครับ แต่เรื่องแบบนี้เล่ามากไม่ได้ ใครไม่เชื่อก็คงไม่เชื่อ แต่ไม่เชื่อแล้วลบหลู่นี่จะกลายเป็นไปทำให้เขาบาปเปล่าๆ มีหลายเรื่องที่เปลี่ยนให้เราลังเลว่าสิ่งที่เราคิดว่ามันเป็นอย่างนั้นอย่างนี้น่ะ หรือมันไม่จริง....

วันรุ่งขึ้นก็เลยโทรกลับไปหาท่านอาจารย์บุญลัธ และถามท่านถึงประเด็นเหล่านี้ ท่านก็เมตตาบอก แต่ก็ยังไม่เชื่อ ยังค้านอยู่ในใจนั่นแหละ...

จนวันที่ได้ไปร่วมพิธีบวงสรวงรูปปั้นหลวงปู่ทวด ที่อาศรมหลวงปู่ จ.ปราจีนบุรี ของท่าน พ.ธรรมรังสี อาศรมท่านอยู่ทางขึ้นเขาใหญ่เลยครับ เป็นพื้นที่สวน ผมไปกับพี่สาวและท่านอาจารย์ วันนั้นมีคนไปร่วมทำบุญกันไม่มากนัก ส่วนใหญ่เขาจะคุ้นๆหน้ากันดี แต่ผมกับพี่สาวเป็นสมาชิกใหม่

และวันนั้นเองผมก็ได้พบอะไรบางอย่าง
ที่ค่อยๆ ให้คำตอบผมเกี่ยวกับเรื่องที่ผมยังไม่เชื่ออย่างเต็มใจ....

ผมเล่ามาถึงตอนที่ไปอาศรมของท่าน พ.ธรรมรังสี เพื่อบวงสรวงรูปปั้นหลวงปู่ทวด คนมาร่วมก็พอประมาณสัก 20 คนได้มั้ง หนึ่งในนั้นมียายแก่ ๆ สองคนเป็นคนระแวกนั้นมาร่วมด้วย

พอพิธีจะเริ่ม ท่าน พ. ก็บอกว่า "เอ้า..ยายสองคนนั่นน่ะ ออกไปเริ่มพิธีซิ..." ยายแกก็มองหน้ากันงงๆ แล้วพูดเบาๆกันสองคนว่า..."ท่านรู้ได้ไง ว่าเราเป็นอะไร"

พอยายสองคนจุดธูปเทียนหน้ารูปปั้นหลวงปู่ทวดเสร็จ ท่านก็เริ่มต้นเลยครับ หนึ่งในสองคนนั้นเริ่มต้นร่ายรำพร้อมกับกล่าวคาถาด้วยสำเนียงที่ฟังเหมือนภาษาแขก ส่วนยายอีกคนหนึ่งยังยืนนิ่งอยู่ใกล้ๆ

 

สักพักแกถึงค่อยเริ่มต้นสวดต่อจากยายคนแรก ผมเองฟังแล้วรู้สึกว่ามันไม่ใช่ภาษาบาลี สันสกฤตอย่างที่พระเราสวดนะครับ ภาษาแขกนี่แหละ ก็เลยคิดว่ายายสองคนนี้อาจจะเป็นร่างทรงเทพเจ้าแขกมั้ง เออ..แล้วแขกมาเกี่ยวอะไรกับหลวงปู่ทวดล่ะ

ฟังไปสักพัก..ผมก็สะดุ้งเฮือก..เมื่อได้ยินคำว่า โอม..พระศรีอาริยเมตรไตรย..ต่อจากนั้นก็กลายเป็นภาษาแขกที่ยายสองคนนั้นสวด และผมฟังไม่รู้เรื่อง... หรือว่าหลวงปู่ทวดจะเป็น...อย่างที่ในหนังสือเขียนไว้

ความจริงการสวดคาถาต่างๆก่อนที่จะเกิดพระพุทธศาสนาเขาจะใช้คำว่า โอม...นำหน้า แต่ต่อมาเมื่อมีพระศาสนาแล้วจะใช้คำว่า นะโม..นำหน้าคำสวดครับ

ส่วนภาษาที่ยายสองคนนั้นสวดผมมารู้ภายหลังว่าเป็นภาษาเทพครับ เรียกกันว่าภาษากูโบ๊ท จำลาง ๆ ว่าจะคล้าย ๆ กับภาษาสันสกฤต ลองไปค้นดูอีกครั้ง ระหว่างเทพนี่เขาจะใช้ภาษานี้ติดต่อกันหมดครับ ใครจะอัญเชิญเทพมาก็ต้องสวดภาษานี้ด้วย

จากนั้น ท่าน พ. ก็มานั่งสวดทำพิธีบวงสรวง เมื่อก่อนพิธีอย่างนี้ผมไม่ค่อยสนใจนะครับมองว่าเป็นพราหมณ์ไม่ใช่พุทธ พุทธต้องนั่งหลับตาภาวนากันทั้งวันทั้งคืน มุ่งสู่นิพพานอย่างเดียว แต่มาคราวนี้ก็ลองๆดูกับเขา ใจก็ยังไม่เชื่ออะไร แต่วันนั้นอาจารย์บุญลัธที่ไปท่านกระซิบว่า "ข้างบนท่านลงมากันเยอะเลย"

พอขากลับเหมือนท่าน พ. จะรู้ว่าผมอยากจะถามอะไรท่านบ้าง แต่คนเยอะเลยไม่ได้ถาม เลยฝากลูกศิษย์ที่ใกล้ชิดท่านติดรถผมมาด้วย ส่วนยายสองคนนั้น ก่อนกลับก็ได้บอกกับพวกเราด้วยภาษามนุษย์แบบเรานี่แหละครับ ท่านทั้งสองบอกว่า รู้สึกดีใจมากที่ได้ร่วมงานในวันนี้ และทุกคนถือว่ามีบุญที่ได้มาร่วมงานเพราะวันนั้นท่าน พ. ได้สวดเราเป็นลูกศิษย์หลวงปู่กันหมดทุกคน ยายทั้งสองบอกว่าให้เราเร่งปฏิบัติธรรมกัน รักษาความดีกันไว้...ไม่มีใครรู้ว่ายายทั้งสองคนมาได้ยังไง เพราะท่าน พ. ไม่ได้บอกชาวบ้านแถวนั้นไว้เลย แต่ทุกคนก็คิดว่าท่าน พ. เชิญมาเอง

ทุกครั้งที่ท่าน พ.ธรรมรังสี ทำพิธีเสร็จ
ท่านจะเดินทางไปที่วัดสะแก จ.อยุธยา ทุกครั้ง

วัดสะแก..เป็นวัดที่หลวงปู่ดู่เคยจำพรรษาที่นั่นจนมรณภาพ ท่าน พ. เคยเล่าให้ลูกศิษย์ที่นั่งรถกลับมาด้วยกันกับผมว่า

ท่านจะไปสวดมนต์ นั่งสมาธิที่นั่นทุกครั้ง เพื่อขอบารมีหลวงปู่ดู่ เพราะที่นั่นหลวงปู่ดู่สร้างภูเขาบุญเอาไว้

หรือเรียกว่าเจดีย์ก็ได้ครับ ท่านเนรมิตไว้สำหรับให้เทพยาดาทั้งหลายได้มาสักการะ

ส่วนคนที่ใจบุญก็จะได้มาทำบุญเพิ่มบุญบารมีกันที่นั่น ท่าน พ. เคยเล่าให้ลูกศิษย์ฟังว่า เมื่อท่านเดินเข้าไปที่วัดสะแกครั้งแรก พอเงยหน้าขึ้นไปบนฟ้า ท่านเห็นเจดีย์ใหญ่โตด้วยทองคำ ...
สูงมหึมา...ปลายยอดแทงเสียดฟ้าขึ้นไปถึงบนสวรรค์ ...
คนปกติที่ไม่ได้ญาณมองไม่เห็นครับ แต่ระลึกถึงได้

ท่าน พ. เล่าให้ลูกศิษย์ว่าบนสวรรค์น่ะ เขาห่วงโลกมนุษย์ ประเทศไทยและพระศาสนามาก โดยเฉพาะยุคที่ศีลธรรมตกต่ำ จึงมีการประชุมกันบ่อยๆเพื่อหาทางแก้ไข เพราะถ้าบ้านเมืองเป็นอะไรไปศาสนาพุทธก็จะอยู่ไม่ได้ บางทีเขาก็ส่งคนลงมาเกิดเพื่อช่วยค้ำจุนพระศาสนา มาเกิดเป็นพระบ้าง เป็นฆราวาสบ้าง แต่มีหน้าที่เหมือนกันคือช่วยเหลือพระศาสนาให้อยู่ครบ 5 พันปี

ตามตำราที่ผมเคยอ่านบอกว่า...เมื่อถึง 5 พันปีครบแล้ว พระบรมธาตุของพระพุทธเจ้าจากทั่วโลกจะมารวมกันแล้วพระพุทธเจ้าจะทรงปรากฏกายขึ้น จากนั้นจะทรงเทศนาสั่งสอนชาวโลกอยู่ 7 วัน 7 คืน เมื่อครบ 7 วันแล้ว กายนั้นก็จะสลายไป เป็นอันสิ้นสุดพระศาสนาของท่าน ครบ 5 พันปี

บนสวรรค์นั้นเหล่าเทพทั้งหลายล้วนแต่เปลี่ยนมานับถือพระพุทธเจ้ากัน โดยเฉพาะเทพที่เรารู้จักกันดี ท่านนับถือพุทธกันหมดแล้ว อันนี้ผมก็อ่านมานะครับ เพราะลำพังผมคงขึ้นไปไม่ไหวล่ะ และในบรรดาคุรุผู้เป็นใหญ่คอยสั่งสอนเหล่าเทพและคอยแผ่บารมีช่วยเหลือสัตว์โลกทั้งบนโลกเรารวมไปถึงในนรกจนสวรรค์ทุกชั้น ท่านนับถือให้หลวงปู่ทวดเป็นครูใหญ่แห่งโลกวิญญาณครับ

หลวงปู่ทวดท่านเป็นพระโพธิสัตว์ที่บารมีเต็มแล้ว รอการมาเกิดเป็นพระพุทธเจ้า เมื่อศาสนาของพระสมณะโคดมครบ 5 พันปี นั่นก็คือการมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าองค์ต่อไป คือ พระศรีอริยเมตไตรย นั่นเอง

การที่ใครปรารถนาจะเป็นพระพุทธเจ้านั้น ต้องบำเพ็ญบารมีอย่างยาวนานนับอสงไขย ยากกว่าการเป็นพระอรหันต์มากมายนัก ท่านที่ต้องการเป็นพระพุทธเจ้าเรียกอย่างหนึ่งว่า ท่านเหล่านี้ปรารถนาพุทธภูมิ...ก็มีหลายท่านเหมือนกันที่ต้องการเป็นพระพุทธเจ้า แต่ทนรอไม่ไหวก็ขอลาพุทธภูมิ จบกิจเป็นพระอรหันต์เข้านิพพานเลยเพราะการที่จะได้เป็นพระพุทธเจ้านั้น ต้องได้รับพุทธพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันว่า พระพุทธเจ้าองค์ถัดไปคือใคร....

อย่างพระอชิตะในครั้งพุทธาล ก็ได้รับพุทธทำนายจากพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันว่า ท่านผู้นี้ต่อไปจะได้เป็นพระพุทธเจ้าองค์ต่อไป…ส่วนพระโพธิสัตว์องค์อื่นๆ ก็รอต่อคิวกันไปเรื่อย ๆ บำเพ็ญบารมีกันต่อไป
มีมากมายตามตำราครับที่ขอลาพุทธภูมิ อย่างท่านพ่อฤาษี(ลิงดำ) วัดท่าซุง ท่านก็เป็นผู้หนึ่งที่ขอลาพุทธภูมิ เพราะไม่อยากรอแล้ว ก็เสร็จกิจในชาตินี้ เป็นพระอรหันต์เข้านิพพานไป

ระหว่างทางกลับกรุงเทพฯ ผมได้รับคำตอบจากลูกศิษย์ของท่าน พ. มากมายหลายเรื่อง บางเรื่องบอกไม่ได้เพราะบางคนไม่เชื่อแล้วคิดมากไปจะกลายเป็นบาปเปล่าๆ แต่สิ่งหนึ่งที่ผมได้รับทราบวันนั้นก็คือ เขาบอกว่า หลวงปู่ดู่ก็คือองค์เดียวกันกับหลวงปู่ทวดนั่นเอง....

ท่านจะแบ่งภาคมาหรือกลับชาติมาเกิดก็สุดแล้วแต่ครับ ตอนนั้นผมก็ยังไม่ค่อยเชื่อนัก จนเหตุการณ์เมื่อไม่นานมานี้ วันที่ผมได้พบกับน้าสาวผมที่อยุธยา ความคิดความเชื่อทุกอย่างของผมก็เปลี่ยนไปหมดเลยครับ

หลังจากกลับมาจากอาศรมหลวงปู่ทวด ผมก็ศึกษาเรื่องราวเกี่ยวกับหลวงปู่ดู่ที่วัดสะแก และด้วยความโง่ของผม ผมลืมไปเสียสนิทว่า น้าสาวผมท่านเป็นโยมอุปฐากหลวงปู่ดู่มาตั้งแต่สมัยท่านมีชีวิตอยู่ แต่ผมไม่เคยถามท่านเลย ทั้งที่มีอยู่ช่วงนึงเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว ผมได้ไปใช้ชีวิตอยู่อยุธยาระหว่างตกงานประมาณ 2 เดือน ก็ไม่เคยคุยกับน้าเรื่องนี้เลย เพราะไม่รู้เรื่องเลย

จนผมได้ไปเยี่ยมท่านที่อยุธยา จึงถามในหลายๆเรื่องที่สงสัยเกี่ยวกับหลวงปู่ดู่ ซึ่งหลายเรื่องตรงกับที่ผมอ่านในหนังสือ แถมได้ข้อมูลมากกว่าด้วย แหม...เรานี่โง่จริงๆ

มีอยู่เรื่องหนึ่งน้าผมเล่าให้ฟังว่า ตอนนั้นหลวงปู่ดู่ท่านอาพาธ บรรดาลูกศิษย์ก็อยากให้ท่านไปโรงพยาบาล แต่ท่านก็ไม่ยอมไป จนโรงพยาบาลเอารถมารับท่าน ตอนนั้นท่านปวดทรมานร่างกายจนน้ำตาไหล แต่ท่านก็ไม่บ่นให้ใครฟัง พอท่านทราบว่ารถโรงพยาบาลกำลังจะมา ท่านก็ลุกเข้าไปในกุฏิจนรถพยาบาลมาถึง หมอก็มาขอเจาะเลือดท่าน และตรวจสุขภาพท่านเบื้องต้น

ไม่น่าเชื่อครับว่า อาการต่างๆในร่างกายท่านกลับเป็นปกติทุกอย่าง เพราะท่านเข้าไปนั่งสมาธิข้างในเมื่อเป็นอย่างนั้น หมอก็ไม่สามารถนำท่านไปโรงพยาบาลได้
แต่เลือดที่เจาะไปแล้วจะทำยังไง...ท่านก็หันมาบอกกับน้าสาวผมว่า
ให้นำเอาเลือดท่านไปผสมกับน้ำแล้วเอาไปทำพระ

พอน้าผมเอาเลือดของท่านใส่ลงไปในน้ำ
น้าผมเล่าว่า เลือดท่านกลายเป็นสีทองอร่าม
ไม่ใช่สีแดงเลย น้าผมเห็นกับตา ... "น้าก็ไม่เคยเล่าให้ใครฟังเพราะเดี๋ยวเขาจะว่าบ้า บางคนไม่เชื่อคิดอกุศลกับท่านจะเป็นบาปไปเปล่า ๆ "

อีกเรื่องนึงที่น้าผมเล่าให้ฟังคือเมื่อครั้งท่านจะละสังขาร เย็นวันนั้นท่านก็เรียกน้าผมไปพบกับโยมอีกท่านนึงที่นั่งสมาธิเก่งมากแล้วหลวงปู่ก็ถามน้าผมว่า

แกยังสงสัยอะไรอีกมั้ยเรื่องทำบุญกับข้า..

ว่าแล้วท่านก็ขอให้ลูกศิษย์ที่นั่งสมาธิเก่งๆ ให้เข้าสมาธิแล้วเล่าตามที่เห็นซิว่า บุญที่น้าผมทำกับท่านเป็นระยะเวลาเกือบยี่สิบปีเป็นอย่างไรบ้าง...สักพักลูกศิษย์คนนั้นก็หันมาบอกว่า บุญของน้าผมสว่างไสว ข้าวปลาอาหารสมบรูณ์เต็มท้องฟ้า...นี่เป็นอานิสงฆ์ที่น้าผมทำอาหารไปถวายท่านตลอดระยะเวลาเกือบยี่สิบปี แทบไม่ได้ขาดเลยสักวัน

หลวงปู่ดู่หันมาบอกกับน้าผมว่า ทีนี้เอ็งหายสงสัยหรือยังเรื่องบุญ
ให้ตั้งใจทำบุญสร้างบารมี แล้ว ถ้าจะขออะไรให้คิดถึงข้า แต่ต้องเชื่อก่อนห้ามสงสัย ให้เชื่อแล้วขอ อยากได้อะไรก็ให้ขอข้า...


สักพักท่านก็บอกอีกว่า เอ้า..ตอนนี้เอ็งอยากจะขออะไรก็ให้ขอเสีย เพราะตอนนี้พระพุทธเจ้าทั้งหลายท่านเสด็จมาตรงนี้แล้ว เทวดาต่าง ๆ ก็มา เอ็งจะขออะไรก็ขอเสีย


น้าสาวผมเล่าให้ฟังว่าตอนนั้นเป็นช่วงเย็นแล้วประมาณ 5 โมงกว่า ๆ ฟ้าก็เริ่มครึ้มใกล้มืด แต่ตอนนั้นกลับรู้สึกว่าบริเวณวัดดูสว่างไสวไปหมดลูกศิษย์หลวงปู่ที่นั่งอยู่ด้วยเขามองเห็นเหล่าเทวดามากันเยอะเลย พระพุทธเจ้าองค์ก่อน ๆ ก็มากันเยอะ ข้างบนเขาดีใจและมารับท่านกลับจะได้ไปโปรดเทวดาข้างบนบ้าง

น้าผมก็ไม่รู้จะขออะไร ก็เพียงแต่ขอสุขภาพดี ๆ ครอบครัวดี ๆ ก็เท่านั้น หลังจากนั้นพอตกกลางคืนหลวงปู่ดู่ท่านก็ละสังขาร.

 

ที่มา : http://jtatanan.multiply.com/journal/item/23